Skip to main content

ปวดข้อมือ

ปวดข้อมือ!!! จากการอุ้มลูก แต่ทานยาไม่ได้ ทำอย่างไร คุณแม่มือใหม่ต้องรู้
Posted: January 18, 2024 By: adminrehabcare2 Categories:  Comment:  0

อาการปวดข้อมือในคุณแม่หลังคลอด มักพบได้บ่อยกับคุณแม่ที่เลี้ยงลูกตั้งแต่ช่วงหลังคลอดจนถึงช่วงวัยก่อนลูกน้อยเดินได้ ซึ่งเป็นช่วงที่คุณแม่ต้องอุ้มลูกเป็นเวลานาน จนทำให้เกิดการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็นบริเวณข้อมือ หรือที่เราเรียกกันว่า “โรคปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s disease / โรคเดอกาแวง)” โดยจะมีอาการปวดบริเวณข้อมือและโคนนิ้วหัวแม่มือ และอาจจะมีปวดไปบริเวณแขนท่อนปลายได้ ซึ่งสาเหตุเกิดจากการใช้งานข้อมือหรือนิ้วหัวแม่มือลักษณะเดิมซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานจนเกิดการอักเสบขึ้น และหากยิ่งมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้มีอาการปวดเพิ่มมากขึ้นได้

ท่าอุ้มลูกแบบไหนเสี่ยงต่อการเป็นเดอกาแวง และท่าอุ้มไหนปลอดภัยสำหรับคุณแม่
ท่าที่ส่งเสริมให้คุณแม่มีอาการบาดเจ็บของข้อมือ หรือเสี่ยงต่อการเป็นเดอกาแวง คือ คุณแม่ที่อุ้มลูกด้วยการใช้ร่องระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งสอดช้อนใต้รักแร้ลูกและอุ้มขึ้นมา เมื่อทำซ้ำๆ หรือน้ำหนักลูกน้อยที่เพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้เส้นเอ็นข้อมือเกิดการอักเสบได้ วิธีที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บข้อมือน้อยที่สุดคือ ท่าหงายมือช้อนก้นในท่าที่ลูกกำลังนอนหงายและใช้ท่อนแขนสอดประคองหลังและศีรษะขึ้นมา ท่านี้จะช่วยลดการใช้งานบริเวณเส้นเอ็นข้อมือ จึงเป็นการถนอมข้อมือสำหรับคุณแม่ได้


วิธีทดสอบด้วยตัวเองง่ายๆ ว่าเป็นเดอกาแวงหรือไม่ แค่ 2 ขั้นตอน เรียกว่า Finkelstein’s test
1.ยื่นแขนออกมา จากนั้นให้กำมือโดยงอนิ้วหัวแม่มือในอุ้งมือ
2.กระดกข้อมือลงไปด้านนิ้วก้อย

หากมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วโป้งจะถือว่าผลทดสอบเป็นบวก (positive) บ่งบอกว่ามีอาการของปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบหรือเดอกาแวง


ในกรณีที่ตรวจด้วย Finkelstein’s test แล้วพบผลเป็นบวก หรือไม่มั่นใจว่าผลการตรวจเป็นอย่างไร แนะนำตรวจประเมินกับแพทย์เฉพาะทางเพิ่มเติม โดยที่รีแฮปแคร์คลินิกมีแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูที่มีความเชี่ยวชาญ สามารถใช้เครื่องอัลตราซาวด์ในการตรวจวินิจฉัยความผิดปกติได้

ภาพแสดง การตรวจพบปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s disease) ด้วยอัลตราซาวด์วินิจฉัย
อ้างอิง : Corvino A, Lonardo V, Corvino F, Tafuri D, Pizzi AD, Cocco G. “ Daddy wrist”: A high-resolution ultrasound diagnosis of de Quervain tenosynovitis. J Clin Ultrasound. 2023; 51(5): 845-847.

เมื่อเป็น ปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบ (De Quervain’s disease) แล้ว ต้องทำอย่างไร?
แม้จะมีอาการปวดมากเพียงใดแต่ในคุณแม่ที่ให้นมลูก จะไม่สามารถทานยาได้ ซึ่งท่าทางและกิจกรรมที่ต้องเลี้ยงลูก ส่งผลกระทบและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบซ้ำๆ และมีอาการปวดตามมาอยู่เสมอ หากปล่อยให้มีอาการเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้รับการดูแลและรักษาให้หาย อาการปวดนี้อาจทำให้กลายเป็นภาวะเรื้อรังได้ ดังนั้นรีแฮปแคร์คลินิกจึงมาแนะนำวิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้น และการรักษาแบบไม่ใช้ยา ที่จะทำให้คุณแม่ ดูแลลูกน้อยได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีอาการปวดมารบกวนใจ

การดูแลอาการปวดเบื้องต้น
1. การพักการใช้งานหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำแล้วมีอาการปวด
2. การใส่อุปกรณ์ประคองข้อมือ (Wrist-thumb splint) เพื่อลดการเคลื่อนไหวและจำกัดการทำงานของข้อมือ

3. การประคบอุ่นหรือประคบเย็น
3.1 ประคบเย็น/แช่น้ำเย็น ในกรณีหลังจากใช้งานซ้ำๆ มาในทันที หรือมีอาการปวดร่วมกับ บวม แดง ร้อน เพื่อลดการอักเสบจากการใช้งานบริเวณมือและข้อมือ
3.2 ประคบอุ่น/แช่น้ำอุ่น ในกรณีมีการบาดเจ็บเรื้อรัง มีอาการปวดตึง เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว และมีการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น

การรักษาทางการแพทย์

การฉีดยา แนะนำทำในกรณที่ปวดมาก ต้องการให้หายเร็ว หรือไม่ตอบสนองต่อการทำกายภาพบำบัด ซึ่งควรฉีดยาโดยแพทย์เฉพาะทาง และใช้อัลตราซาวด์นำวิถีฉีดเพื่อเพิ่มความปลอดภัย มีความแม่นยำ และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้สูงขึ้น ทำได้ 2 วิธี ดังนี้

1.  การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น (platelet rich plasma /PRP injection) คือ การฉีดเกล็ดเลือดความเข้มข้นสูง โดยนำเลือดของตนเองมาสกัดเอาสารที่มีฤทธิ์ซ่อมแซมและลดการอักเสบและฉีดกลับเข้าไปบริเวณที่มีการบาดเจ็บ เพื่อเร่งกระบวนการซ่อมแซม จึงทำให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ทำให้อาการปวดลดลง โดยปกติมักเห็นผลดีขึ้นตั้งแต่เข็มแรกของการฉีด ข้อดี คือ มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง แต่มีราคาสูงกว่าการฉีดยาอื่น

2. การฉีดสเตียรอยด์ (steroid injection) เป็นการฉีดเพื่อลดการอักเสบและลดปวด ข้อดี คือ เห็นผลเร็วเพราะยามีฤทธิ์แก้ปวดสูง ราคาต่ำกว่า PRP ส่วนข้อเสีย คือ อาจส่งผลในระยะยาวทำให้ไม่เกิดการซ่อมแซมและฟื้นฟูของเส้นเอ็นถ้าไม่พักการใช้งาน ซึ่งแตกต่างจาก PRP ไม่สามารถรฉีดเกิน 2-3 ครั้งต่อปีหรือติดต่อกัน และอันตรายกว่า PRP เพราะถ้าฉีดโดนเส้นเอ็นอาจส่งผลให้เส้นเอ็นอ่อนแอและมีโอกาสขาดได้

ภาพแสดง เข็มฉีดยาขณะฉีดบริเวณปลอกหุ้มเอ็น ด้วยการใช้เครื่องอัลตราซาวด์นำวิถี
อ้างอิง : Corvino A, Lonardo V, Corvino F, Tafuri D, Pizzi AD, Cocco G. “ Daddy wrist”: A high-resolution ultrasound diagnosis of de Quervain tenosynovitis. J Clin Ultrasound. 2023; 51(5): 845-847

การรักษาทางกายภาพบำบัด เพื่อลดอาการปวด
การทำกายภาพบำบัดด้วยเครื่องมือเพื่อลดอาการปวด ดังนี้

1. Focus Shockwave หรือคลื่นกระแทก ใช้ที่บริเวณเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็นบริเวณข้อมือเพื่อลดอาการปวดและเร่งการซ่อมแซมตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ที่บริเวณกล้ามเนื้อปลายแขนที่มีอาการปวดและตึงตัวร่วมด้วย เพื่อให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
2. High Power Laser หรือเลเซอร์พลังงานสูง เป็นพลังงานแสงความเข้มข้นสูงความยาวคลื่น 1064 ที่ลงลึกถึงเส้นเอ็นใช้บริเวณที่มีอาการปวดจากการอักเสบเพื่อเติมพลังงาน เร่งการซ่อมแซมตัวเอง และลดการอักเสบได้อย่างรวดเร็ว
3. Ultrasound เป็นคลื่นเสียงความถี่สูง โดยมีผลของความร้อนที่ช่วยเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด ใช้ทั้งบริเวณกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่บาดเจ็บ
4. TENS หรือเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ใช้ผ่อนคลายตรงบริเวณที่มีอาการปวด เพื่อลดอาการปวดและคลายกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. Hot Pack หรือประคบอุ่น ใช้ตรงบริเวณกล้ามเนื้อปลายแขนที่มีอาการตึงตัวได้
6. โปรแกรมการออกกำลังกาย

ท่าออกกำลังกาย ป้องกันโรคเดอกาแวง
1.ท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้องอนิ้วโป้ง : หงายมือ จากนั้นใช้มืออีกข้างดึงยืดนิ้วโป้งจนรู้สึกตึงบริเวณนิ้วโป้ง ค้างไว้ 10 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง

2.ท่ายืดกล้ามเนื้อแขนด้านใน : เหยียดศอกในลักษณะหงายมือ แล้วดึงยืดฝ่ามือลงให้รู้สึกตึงกล้ามเนื้อแขนด้านใน ค้างไว้ 10 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง

3.ท่ายืดกล้ามเนื้อแขนด้านนอก : เหยียดศอกในลักษณะคว่ำมือ แล้วดึงยืดหลังมือลงให้รู้สึกตึงกล้ามเนื้อแขนด้านนอก ค้างไว้ 10 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง

4.ท่าเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อแขน : หงายมือ กำมือ แล้วค่อยๆ กระดกข้อมือขึ้น ค้างไว้ 5 วินาทีแล้วค่อยกลับไปตำแหน่งเดิม ทำซ้ำ 10 ครั้ง เพิ่มความยากด้วยการใส่น้ำหนักถ่วง

5.ท่าเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อแขน : คว่ำมือลง แล้วกำมือ หลังจากนั้นค่อยๆ กระดกข้อมือขึ้น ค้างไว้ 5 วินาทีแล้วกลับไปตำแหน่งเดิม ทำซ้ำ 10 ครั้ง เพิ่มความยากด้วยการใส่น้ำหนักถ่วง


6.ท่าเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อนิ้วมือ : ใช้ยางยืดวงใหญ่ใส่ที่รอบนอกของนิ้วมือ จากนั้น กางและหุบนิ้วมือต้านแรงยางยืด ทำซ้ำ 10 ครั้ง


หากคุณแม่มือใหม่ท่านไหนกำลังประสบปัญหาปวดข้อมือ หรือมีภาวะปลอกหุ้มเอ็นข้อมืออักเสบอยู่ และมีข้อจำกัดในการรับประทานยาจากการให้นมลูก ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อประเมินอาการและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดการอักเสบมากขึ้นและกลายเป็นภาวะปวดเรื้อรังจนต้องผ่าตัด

ปวดแบบไหนควรประคบร้อนหรือเย็น
Posted: January 11, 2024 By: adminrehabcare2 Categories:  Comment:  0

การใช้ประคบเย็น เพื่อลดอาการปวด

ควรใช้ในกรณีหลังมีการบาดเจ็บมาในช่วง 24 - 48 ชั่วโมงแรก หรือมีข้อบ่งชี้ว่าเส้นเลือดบริเวณนั้นมีการฉีกขาด หรือมีการอักเสบ ได้แก่ มีอาการปวด ร่วมกับการบวม แดง และร้อน ซึ่งความเย็นมีผลทำให้หลอดเลือดหดตัว เลือดออกน้อยลง การบาดเจ็บและการอักเสบจึงลดลงตามไปด้วย

อาการที่ควรประคบเย็น เช่น ปวดศีรษะ มีไข้สูง ปวดฟัน ปวดบวมข้อเท้า ข้อเคล็ด เลือดกำเดาไหล หรือ ปวดบวมบริเวณอื่นๆ ที่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บหรือเริ่มมีอาการปวดในช่วงแรก

วิธีประคบที่เหมาะสม อาจใช้เจลสำหรับประคบเย็นแบบสำเร็จรูปหรือทำถุงน้ำแข็งขึ้นใช้เอง โดยใช้ถุงพลาสติกขนาดพอเหมาะ เติมน้ำเปล่าผสมน้ำแข็งในสัดส่วนที่เท่ากัน นำผ้ามาหุ้มอีกชั้น ตรวจสอบว่าไม่เย็นเกินไปโดยการนำมาประคบผิวหนัง ถ้าบริเวณที่มีอาการเป็นบริเวณมือ แขน ขา หรือเท้า อาจใช้การแช่ในภาชนะที่บรรจุน้ำเย็นแทน โดยประคบหรือแช่นานประมาณ 10
- 15 นาทีต่อครั้ง จำนวน 2 - 3 ครั้งต่อวัน

การใช้ประคบร้อน เพื่อลดอาการปวด

ประคบอุ่นนั้นสามารถกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้น เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่น ลดอาการเมื่อยล้า และยังส่งผลในการช่วยลดปวดได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำง่ายๆ ได้ด้วยตนเอง และหากทำควบคู่กับการยืดกล้ามเนื้อจะยิ่งมีประสิทธิภาพในการลดความปวดมากยิ่งขึ้น

อาการที่ควรประคบอุ่น เมื่อมีอาการปวดเมื่อย ปวดตึงของกล้ามเนื้อจากสาเหตุต่างๆ เช่น การนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน การนั่งขับรถต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน หรือการยืนติดต่อกันเป็นเวลานาน สามารถประคบอุ่นได้ทุกบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ข้อต่อ เช่น คอ-บ่า หลัง ขา เป็นต้น

วิธีประคบอุ่นที่เหมาะสม ประคบอุ่นในระดับความร้อนที่อุ่นสบาย ต้องไม่รู้สึกแสบผิวหรือไม่ร้อนจัดเกินไป เพื่อป้องกันการเกิดผิวหนังไหม้พอง แนะนำประคบครั้ง 15 - 20 นาที วันละ 1 - 2 รอบ

ข้อห้ามและข้อควรระวังในการประคบอุ่น

ไม่ควรประคบอุ่นในบริเวณที่มีอาการอักเสบ บวม แดง ร้อน มีแผลเปิด หรือผิวเป็นผื่น

อุปกรณ์ที่ใช้ในการประคบอุ่น

1. เจลประคบอุ่น หรือถุงน้ำร้อน โดยต้องห่อด้วยผ้าเพื่อให้ได้ความร้อนที่เหมาะสม ข้อดีคือ หาใช้ได้ง่าย ราคาไม่แพง แต่ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้

2. แผ่นประคบอุ่นไฟฟ้า เป็นการประคบอุ่นรูปแบบใหม่ข้อดีคือ สามารถควบคุมระดับความร้อนที่พอเหมาะได้ โดยแผ่นประคบอุ่นไฟฟ้าจะมีความร้อนคงที่ มีความสะดวกสบายในการใช้งาน ปลอดภัยสูงเพราะสามารถตั้งเวลาใช้งานได้ อายุการใช้งานนานสามารถประคบได้ทั่วถึงทุกส่วน แต่มีราคาสูงกว่าแบบถุงน้ำร้อน

ทำงานคอมฯ จับเมาส์ เขียนหนังสือเยอะๆ ก็มือชาได้ !!!
Posted: July 12, 2021 By: adminrehabcare2 Categories:  Comment:  0

กลุ่มอาการเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณข้อมือ (carpal tunnel syndrome) หนึ่งในกลุ่มโรคออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) กลุ่มอาการที่พบบ่อย เกิดขึ้นกับกลุ่มคนวัยทำงานที่มีลักษณะงานที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยท่าทางซ้ำๆ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมงต่อวัน หรืออยู่ในท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องนานๆ

กลุ่มอาการเส้นประสาทถูกกดทับบริเวณข้อมือ
 

อาการ

- ปวด ชาฝ่ามือและนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้วโป้ง ชี้ กลาง และนิ้วนางครึ่งนิ้ว อาจรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อต

- ปวดมากตอนกลางคืนหรือตื่นนอนตอนเช้า

- เมื่อยล้าง่ายเมื่อมีการพิมพ์คอม เขียนหนังสือ หยิบจับโทรศัพท์มือถือ อ่านหนังสือ ขับรถยนต์

- เมื่อสะบัดข้อมืออาการปวด ชาจะทุเลาลง

- เมื่อเป็นนานๆกล้ามเนื้อมือก็จะมีการอ่อนแรง และกล้ามเนื้อลีบ การรับความรู้สึกของมือจะลดลง


สาเหตุ 

- พันธุกรรม โดยผู้ที่มีข้อมือเล็ก เช่น ผู้หญิง เสี่ยงต่อการบีบอัดหรือกดทับเส้นประสาทมีเดียนสูง

- ความผิดปกติด้านโครงสร้าง เช่น ข้อมือหักหรือเคลื่อน ซึ่งอาจทำให้เส้นประสาทมีเดียนถูกกดทับได้

- การใช้งานมือและข้อมือที่ไม่เหมาะสม โดยผู้ที่เคลื่อนไหวมือกับข้อมือในลักษณะเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน การใช้งานคอมพิวเตอร์ และการงอข้อมือซ้ำ ๆ 

- เส้นประสาทถูกทำลายจากโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีเส้นประสาทมือถูกทำลายมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็น Carpal Tunnel Syndrome

- การอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณข้อมือ เช่น ข้อมืออักเสบ ซึ่งมีผลต่อเยื่อบุรอบเอ็นยึดข้อมือ และอาจทำให้เส้นประสาทมีเดียนถูกกดทับ

- ภาวะอ้วน เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เส้นประสาทข้อมือถูกบีบอัดหรือรับแรงกดจนเกิด Carpal Tunnel Syndrome ได้เช่นกัน

- การเกิดของเหลวคั่งในร่างกาย ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน จนทำให้เส้นประสาทมีเดียนถูกกดทับ

- ภาวะอื่น ๆ เช่น โรคไฮโปไทรอยด์ ความผิดปกติของต่อมใต้สมอง และไตวาย


การวินิจฉัยโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ

แพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติ เพื่อทำการแยกโรคที่เป็นสาเหตุ ร่วมกับการตรวจร่างกายเพิ่มเติม ด้วยวิธีอื่นๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ ดังนี้

1. การทดสอบพิเศษ (Provocation test)

1.1 Phalen’s test: ให้ผู้ป่วยวางข้อศอกบนโต๊ะ หลังจากนั้นให้อยู่ในท่า fully flexion of wrist ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที หากมีอาการชาขึ้นมาตาม median nerve distribution จะให้ผล positive 

Phalen’s test

1.2 Tinel’s sign: ให้ผู้ตรวจเคาะลงบริเวณ median nerve ส่วนใหญ่คือ proximal ต่อ distal wrist crease ประมาณ 0.5-1 cm ระหว่าง flexor carpi radialis และ palmaris longus หากเคาะแล้วผู้ป่วยมีภาวะปวดหรือความรู้สึกไฟช๊อตตาม median nerve distribution จะถือว่า  positive 

Tinel’s sign

2. การตรวจการนำไฟฟ้าของเส้นประสาท(Electrodiagnosis) เป็นการช่วยยืนยันในการวินิจฉัย และพยากรณ์โรค

3. การตรวจด้วยรังสีวิทยา

- เอกซเรย์ (X-ray) เพื่อดูโครงสร้างของมือ ด้วยการฉายภาพรังสี ซึ่งช่วยคัดกรอง โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือจากโรคอื่นๆ เช่นข้ออักเสบ เอ็นยึดบาดเจ็บ และกระดูกหัก

- อัลตราซาวด์ (Ultrasound diagnosis) เพื่อวิเคราะห์การบีบอัดของเส้นประสาทมีเดียน ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง  

- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า Magnetic Resonance Imaging (MRI) เพื่อดูเนื้อเยื่อบริเวณเส้นประสาทมีเดียนที่ผิดปกติ จากการสแกนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นแผลเป็นจากการบาดเจ็บ หรือเนื้องอกบริเวณข้อมือ 
 

วิธีการรักษา

1. การรักษาด้วยยารับประทาน จำพวกวิตามินบี ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID)


2. การรักษาด้วยยาฉีดเฉพาะที่จำพวกสเตียรอยด์ (Steroid) เข้าไปในช่องลอดของฝ่ามือ เพื่อลดการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบเส้นประสาท


3. การรักษาโดยการใส่กายอุปกรณ์ เพื่อพักการเคลื่อนไหวของข้อมือ เพราะถ้าข้อมืองอหรือกระดูกขึ้น จะทำให้เกิดการเพิ่มแรงดันภายในช่องลอด ความดันที่เพิ่มขึ้นจะไปกดหลอดเลือดเล็กๆ ของเส้นประสาท ทำให้เลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทน้อยลง


4. การทำกายภาพบำบัด โดยการรักษาจะใช้เครื่องHigh power laser อัลตร้าซาวด์ ประคบร้อนเพื่อคลายพังผืดที่ทับเส้นประสาท การขยับข้อต่อของข้อมือ การยืดกล้ามเนื้อ เป็นต้น 


5. การผ่าตัด โดยการตัดเยื่อพังผืดส่วนผนังทางด้านฝ่ามือของช่องลอดที่คลุมเส้นประสาท เพื่อขยายปริมาตรของช่องลอด และลดความดันภายในช่องลอด
 

วิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้น

- พักการใช้งานของมือ หรือระหว่างการทำงาน โดยเฉพาะหากต้องทำงานกับเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่สั่นและต้องใช้แรงมาก ควรพักมือเป็นระยะ โดยยืดกล้ามเนื้อข้อมือและแขน ขยับข้อมือเบาๆ

- ถ้าทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือต้องพิมพ์งานบ่อยๆ ควรหาแผ่นเม้าส์ที่มีเจลสำหรับรองข้อมือ เมื่อใช้เม้าส์ และผ้านุ่มๆ หรือฟองนํ้ามารองข้อมือขณะพิมพ์แป้นคีย์บอร์ด

แผ่นเม้าส์ที่มีเจลสำหรับรองข้อมือ เมื่อใช้เม้าส์ และผ้านุ่มๆ

- หลีกเลี่ยงการนอนทับมือ และสวมเฝือกข้อมือในเวลากลางคืน

หลีกเลี่ยงการนอนทับมือ และสวมเฝือกข้อมือในเวลากลางคืน

- ประคบอุ่น/แช่น้ำอุ่น 15-20 นาที

-ที่สำคัญที่สุด ควรไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆเพื่อทำการตรวจรักษา และร่วมกับการทำกายภาพบำบัด จะเป็นการรักษาที่ดีโดยไม่ต้องผ่าตัด

 

สอบถามเพิ่มเติมที่ "รีแฮป แคร์ คลินิก"

ที่อยู่ : 423 ถนนเพชรเกษม แขวงบางหว้า เขตภาษีเจริญ กทม. (อยู่ในศูนย์กีฬากันอริ ก่อนถึงซีคอนบางแค) ? 061-801-2482 Line ID : @rehabcare