วารีบำบัด มาจากรากศัพท์ของภาษากรีก 2 คำ คือ
- Hydro แปลว่า น้ำ
- Therapy แปลว่า การบำบัดรักษา
เป็นการใช้คุณสมบัติของน้ำร่วมกับการออกกำลังกาย เพื่อการรักษาอาการปวด นอกจากนี้ยังเสริมสร้างสุขภาพ และเกิดการผ่อนคลาย
ยุคกรีก สมัยก่อนคริสตกาลราว 500 ปี ลักษณะการใช้น้ำเพื่อสุขภาพก็เปลี่ยนไปเป็น การปฏิบัติอย่างเป็นเหตุและผล ฮิปโปเครติส (Hippocrates 460-375 BC) แพทย์ชาวกรีก ใช้การแช่น้ำร้อนและน้ำเย็นเพื่อบำบัดรักษาโรคหลายอย่าง เช่น ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ
ชาวโรมัน มีความสามารถในเรื่องสถาปัตยกรรมและการก่อสร้าง ได้สร้างสถานที่อาบน้ำตามน้ำพุร้อนต่างๆ เพิ่มเติมต่อจากชาวกรีก และพัฒนาวิธีการใช้น้ำเพื่อสุขภาพที่มีรูปแบบซับซ้อนมากขึ้นโดยการอาบน้ำแช่น้ำที่อุณหภูมิต่างๆ
เมื่อถึงศตวรรษที่ 17 คนในวัฒนธรรมตะวันตกก็เริ่มกลับมามีความสนใจในเรื่องการใช้น้ำเพื่อสุขภาพขึ้นมาอีกครั้งโดย วินเซนต์ เพรสนิตซ์(Vincent Priessnitz) แต่เนื่องด้วยวินเซนต์ เพรสนิตซ์ไม่มีพื้นการศึกษาทางการแพทย์ จึงไม่ได้รับความเชื่อถือจากแพทย์ในยุคนั้น โดยวงการแพทย์มีความเห็นว่าวิธีการบำบัดเหล่านี้เป็นการรักษาโดยอาศัยการสังเกตไม่ใช่ด้วยเหตุผลและการพิสูจน์เชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นค่านิยมการพัฒนาวิทยาการทางแพทย์แผนปัจจุบัน
ในสังคมตะวันตก ศาสตราจารย์วินเทอร์วิตซ์ซึ่งเป็นแพทย์ชาวออสเตรียที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษานำน้ำมาใช้เพื่อบำบัดรักษาโรคที่เรียกในปัจจุบันว่า Hydrotherapy เขามีความสนใจงานของเพรสนิตส์ และได้ทำการศึกษาเรื่องปฏิกิริยาของเนื้อเยื่อของร่างกายต่อน้ำที่อุณหภูมิต่างๆจนเป็นที่ ยอมรับในวงการแพทย์ ต่อมาได้ตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนารูปแบบการใช้น้ำร้อนและน้ำเย็นเพื่อรักษาโรคขึ้น เช่น การบำบัดด้วยอ่างน้ำวน (Whirlpool) และการบำบัดโดยการบริหารร่างกายในน้ำ ศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นนี้มีชื่อเรียกว่า Hydrotherapy (วารีบำบัด) ต่อมานายแพทย์วินเทอร์วิตซ์ได้ตั้งโรงเรียนสอน Hydrotherapy ด้วย ทำให้มีการเผยแพร่ความรู้เรื่อง Hydrotherapy และเกิดความนิยมใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคต่างๆในยุโรปขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และมีการฟื้นฟูพัฒนาสถานที่พักผ่อนเพื่อส่งเสริมสุขภาพโดยการใช้น้ำขึ้นมาใหม่ตามแหล่งน้ำพุร้อนเหมือนกับที่เคยเกิดในยุคโรมัน ต่อมาความนิยมดังกล่าวก็ได้แพร่หลายไปในทวีปอเมริกา สถานส่งเสริมสุขภาพเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า สปา (SPA)
วารีบำบัด เป็นศาสตร์ที่ใช้น้ำในการบำบัดรักษาและการผ่อนคลาย ถ้าปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เราก็จะมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น การรับความรู้สึกของระบบประสาทดีขึ้น การทรงตัวดีขึ้น การเคลื่อนไหวดีขึ้น และร่างกายจะหลั่งสารแห่งความสุข (Endorphin) ทำให้ร่างกายผ่อนคลายและหลับง่าย ลดความตึงเครียดได้อีกด้วย
คุณสมบัติของน้ำนับว่ามีประโยชน์มหาศาลต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก ซึ่งในปัจจุบันสามารถทำร่วมกับการออกกำลังกายเพื่อการรักษา ฟื้นฟูและส่งเสริมสุขภาพให้ดียิ่งขึ้นได้ เหมาะสำหรับผู้ป่วยกลุ่มโรคกระดูก และกล้ามเนื้อ เช่น ผู้ป่วยที่มีอาการข้อเข่าเสื่อม ปวดคอ ปวดเข่า ปวดหลัง ข้อติด กล้ามเนื้ออ่อนแรง อัมพาตครึ่งซีก อัมพาตครึ่งท่อน เด็กสมองพิการ ผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว คุณแม่ตั้งครรภ์ และในกลุ่มผู้ที่ต้องการฟื้นฟูหลังการผ่าตัดหรือหลังจากการเล่นกีฬา
เป็นรูปแบบหนึ่งในการรักษาทางกายภาพบำบัด ซึ่งเป็นวิธีการใช้น้ำเป็นตัวกลางในการรักษา โดยอาศัยคุณสมบัติของน้ำ ช่วยพยุงรองรับทุกส่วนของร่างกาย โดยนักกายภาพบำบัดจะออกแบบโปรแกรมการรักษาที่มีความเฉพาะต่อปัญหาของผู้ป่วยแต่ละประเภท และให้การดูแลอย่างใกล้ชิดขณะออกกำลังกายในน้ำ
- ช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อต่อต่างๆ โดยใช้แรงลอยตัวของน้ำ
- เพิ่มการทรงตัวให้ดีขึ้น และการเคลื่อนไหวในน้ำที่สัมพันธ์กันของร่างกาย
- ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- ช่วยลดความเจ็บปวด ลดอาการข้อติด ทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ โดยอาศัยแรงต้านของน้ำและอุปกรณ์ที่ใช้
- ผู้ที่มีอาการปวดเข่า ปวดหลัง ปวดไหล่
- ผู้ที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม
- ผู้ที่มีปัญหาด้านการทรงตัว และการเคลื่อนไหว
- คุณแม่ตั้งครรภ์
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูการบาดเจ็บหลังผ่าตัด
- ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
- การออกกำลังกายบนบกจะมีแรงกระแทกต่อข้อต่อมากกว่า
- วารีบำบัดจะเหนื่อยช้ากว่าการออกกำลังกายบนบก
- คนที่เพิ่งผ่าตัดจะมีข้อจำกัดคือลงน้ำหนักแขนหรือขาที่หักไม่ได้ จึงไม่สามารถออกกำลังกายบนบกได้อย่างปกติและเสี่ยงบาดเจ็บสูงมาก
- ผู้ปลอดภัยในคนที่มีปัญหาการทรงตัวและเคยล้ม มากกว่าบนบกถึงหลายเท่าตัว
- วารีบำบัดทำให้การทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือดให้ดีขึ้น
- ในคุณแม่ตั้งครรภ์ วารีบำบัดจะช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น ป้องกันอาการปวดหลัง เข่า และทำให้คลอดง่าย
- วารีบำบัดเหมาะกับคนที่น้ำหนักตัวมาก เพราะลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อต่อหลายเท่า